เมนู

เถรคาถา เอกนิบาต วรรคที่ 2


1. มหาจุนทเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระมหาจุนเถระ


[268] ได้ยินว่า พระมหาจุนทเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
การฟังดี เป็นเหตุให้การฟังเจริญ การฟังเป็น
เหตุให้เจริญปัญญา บุคคลจะรู้ประโยชนก็เพราะปัญญา
ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ภิกษุควรซ่อง
เสพเสนาสนะ อันสงัด ควรประพฤติธรรมอันเป็นเหตุ
ให้จิตหลุดพ้นจากสังโยชน์ ถ้ายังไม่ได้ประสบความ
ยินดี ในเสนาสนะอันสงัดและธรรมนั้น ก็ควรเป็นผู้
มีสติรักษาตน อยู่ในหมู่สงฆ์.


วรรควรรณนาที่ 2


อรรถกถามหาจุนทเถรคาถา


คาถาของท่านพระมหาจุนทเถระ เริ่มต้นว่า สุสฺสูสา. เรื่องราว
ของท่านเป็นอย่างไร ?
แม้พระเถระนี้ ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้ว ในพระพุทธเจ้า
องค์ก่อน ๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้น ๆ บังเกิดในตระกูลช่างหม้อ ในกาลของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสี บรรลุนิติภาวะแล้ว เลี้ยงชีพด้วยงาน
ของนายช่างหม้อ วันหนึ่งเห็นพระศาสดาแล้ว มีใจเลื่อมใส ทำบาตรดินลูก
หนึ่ง ตกแต่งเป็นอย่างดี ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิด
เป็นบุตรของนางรูปสารีพราหมณี เป็นน้องชายคนเล็ก ของพระเถระชื่อว่า
สารีบุตร ในนาลกคาม แคว้นมคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่า
จุนทะ. เขาเจริญวัยแล้ว บวชตามพระธรรมเสนาบดี อาศัยพระธรรมเสนาบดี
เริ่มตั้งวิปัสสนา เพียรพยายามอยู่ ได้เป็นผู้มีอภิญญา 6 ต่อกาลไม่นานนัก.
สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
ข้าพระองค์ เป็นช่างหม้ออยู่ในหงสาวดี ได้เห็น
พระพุทธเจ้า ผู้ปราศจากกิเลสธุลี มีโอฆะอันข้ามได้
แล้ว ไม่มีอาสวะ ข้าพระองค์ได้ถวายบาตรดินที่ทำ
ดีแล้ว แด่พระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุด ครั้นถวายบาตร
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตรง คงที่แล้ว เมื่อข้าพระองค์
เกิดในภพ ย่อมได้ภาชนะทอง และจานที่ทำด้วยเงิน
ทำด้วยทอง และทำด้วยแก้วมณี ข้าพระองค์บริโภค
ในถาด นี้เป็นผลแห่งบุญกรรม ข้าพระองค์เป็นผู้เลิศ
กว่าชนทั้งหลายโดยยศ พืชแม้มีน้อย แต่หว่านลงใน
นาดี เมื่อฝนยังท่อธารให้ตกลงทั่ว โดยชอบ ผลย่อม
ยังชาวนาให้ยินดีได้ฉันใด การถวายบาตรนี้ก็ฉันนั้น
ข้าพระองค์ได้หว่านลงในพุทธเขต เมื่อท่อธารคือปีติ
ตกลงอยู่ ผลจักทำข้าพระองค์ให้ยินดี เขตคือหมู่และ
คณะมีประมาณเท่าใด ที่จะให้ความสุขแก่สรรพสัตว์

เสมอด้วยพุทธเขตไม่มีเลย ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นบุรุษ
อาชาไนย ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่พระองค์ ข้าแต่
พระองค์ผู้เป็นอุดมบุรุษ ข้าพระองค์ขอนอบน้อมแด่
พระองค์ ข้าพระองค์บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ก็
เพราะได้ถวายบาตรใบหนึ่ง ในกัปที่ 91 แต่ภัทรกัป
นี้ ข้าพระองค์ได้ถวายบาตรใดในกาลนั้น ด้วยการ
ถวายบาตรนั้น ข้าพระองค์ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผล
แห่งการถวายบาตร. ข้าพระองค์เผากิเลสทั้งหลายแล้ว
ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพระองค์ กระทำ
สำเร็จแล้ว
ดังนี้.
ก็พระเถระเป็นผู้มีอภิญญา 6 แล้ว เมื่อจะสรรเสริญอุปนิสัยของครู
และการอยู่อย่างวิเวก อันเป็นเหตุแห่งสมบัติที่ตนได้แล้ว ได้กล่าวคาถา 2
คาถา ความว่า
การฟังดีเป็นเหตุให้ฟังเจริญ การฟังเป็นเหตุให้
เจริญปัญญา บุคคลจะรู้ประโยชน์ ก็เพราะปัญญา
ประโยชน์ที่บุคคลรู้แล้ว ย่อมนำสุขมาให้ ภิกษุควร
ซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด ควรประพฤติธรรมอันเป็น
เหตุให้จิตหลุดพ้นจากสังโยชน์ ถ้ายังไม่ได้ประสบ
ความยินดี ในเสนาสนะอันสงัด และธรรมนั้น ก็ควร
เป็นผู้มีสติ รักษาตนอยู่ในหมู่สงฆ์
ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุสฺสูสา ได้แก่ ความปรารถนาเพื่อ
จะฟังสุตะทั้งปวง ที่ควรแก่การฟัง แม้ความอยู่ร่วมกับครู ก็ชื่อว่า สุสฺสูสา
อธิบายว่า อันกุลบุตรผู้ปรารถนาจะฟัง ข้อความที่มีประโยชน์ ต่างด้วยทิฏฐ-

ธรรมิกัตถประโยชน์เป็นต้น เข้าไปหากัลยาณมิตร เข้าไปนั่งใกล้ ด้วยการ
กระทำวัตร ในเวลาใด ยังกัลยาณมิตรเหล่านั้น ให้มีจิตโปรดปราน ด้วยการ
เข้าไปนั่งใกล้ ย่อมมีความประสงค์จะเข้าไปนั่งใกล้ ๆ กัลยาณมิตรบางคน
ครั้นกุลบุตรเข้าถึงตัว เข้าไปนั่งใกล้กัลยาณมิตรเหล่านั้นแล้ว พึงเงี่ยโสต
ลงสดับ ด้วยความปรารถนาเพื่อจะฟัง เพราะเหตุนั้น แม้การอยู่ร่วมกับครู
ท่านจึงกล่าวว่า สุสฺสูสา (การฟังดี) เพราะเป็นต้นเหตุแห่งการฟังด้วยดี
ก็การฟังดีนี้นั้น ชื่อว่า สุตวทฺธนี เพราะเป็นเหตุให้สุตะ อันปฏิสังยุตด้วย
สัจจปฏิจจสมุปบาทเป็นต้น เจริญคืองอกงาม แก่บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยการฟัง
นั้น. อธิบายว่า ทำให้เป็นพหูสูต.
บทว่า สุตํ ปญฺญาย วทฺธนํ ความว่า พาหุสัจจะนั้นใดที่ท่าน
กล่าวไว้ โดยนัยมีอาทิว่า เป็นผู้ทรงสุตะ เป็นผู้สั่งสมสุตะก็ดี ว่า บุคคล
บางคนในโลกนี้ มีสุตะ คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณ์ มาก ดังนี้ก็ดี
พาหุสัจจะนั้น ย่อมยังปัญญาอันเป็นเหตุให้ละความชั่ว บรรลุถึงความดีให้เจริญ
เพราะเหตุนั้น สุตะจึงชื่อว่า ยังปัญญาให้เจริญ. สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้มีสุตะเป็นอาวุธแล ย่อมละอกุศลได้
ย่อมยังกุศลให้เจริญได้ ย่อมละธรรมที่มีโทษ ย่อมยังธรรมที่ไม่มีโทษให้เจริญ
ย่อมบริหารตนให้บริสุทธิ์ ดังนี้.
บทว่า ปญฺญาย อตฺถํ ปชานาติ ความว่า บุคคลผู้เป็นพหูสูต
ตั้งอยู่ในสุตมยญาณ ( ญาณอันสำเร็จด้วยการฟัง) แล้ว ปฏิบัติอยู่ซึ่งข้อปฏิบัติ
นั้น ย่อมรู้และแทงตลอดอรรถ อันต่างด้วยโลกิยะและโลกุตระ จำแนกออก
เป็นทิฏฐธรรมเป็นต้น และจำแนกออกโดยอริยสัจ มีทุกขสัจเป็นต้น ด้วยการ
สอบสวนข้อความตามที่ได้ฟังมา และด้วยภาวนาคือการเข้าไปเพ่งธรรม. สมดัง
พระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า บุคคลรู้เหตุ รู้ผล ของสุตะตามที่ได้

เรียนมาแล้ว ย่อมปฏิบัติธรรมโดยสมควรแก่ธรรม ดังนี้. และตรัสว่า บุคคล
ย่อมพิจารณาอรรถแห่งธรรมที่ตนทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาอรรถอยู่ ธรรม
ทั้งหลายย่อมควรซึ่งการเพ่ง เมื่อธรรมควรซึ่งการเพ่งมีอยู่ ฉันทะย่อมเกิด
ผู้ที่มีฉันทะเกิดแล้ว ย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้ว ย่อมพิจารณา ครั้น
พิจารณาแล้ว ย่อมตั้งความเพียร ผู้ที่มีความเพียร ย่อมกระทำให้แจ้งซึ่ง
ปรมัตถสัจ ด้วยกาย และเห็นแจ้งแทงตลอดซึ่งปรมัตถสัจนั้นด้วยปัญญา.
บทว่า ญาโต อตฺโถ สุขาวโห ความว่า ประโยชน์มีทิฏฐธรรมิ-
กัตถประโยชน์เป็นต้น ก็ดี ประโยชน์ในทุกขสัจเป็นต้น ก็ดี ตามที่กล่าวแล้ว
ที่ตนรู้แล้ว คือบรรลุแล้วตามความเป็นจริง ย่อมนำมา คือให้สำเร็จความสุข
ต่างโดยโลกิยสุข และโลกุตรสุข.
ประโยชน์ย่อมไม่มี แก่ผู้ที่มีปัญญาภาวนาตามที่ตนทรงไว้ ด้วยเหตุ
เพียงการฟังอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเถระเมื่อจะแสดงถึงวิธีปฏิบัติ
แห่งภาวนาปัญญานั้น จึงกล่าวว่า ภิกษุควรซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด ควร
ประพฤติธรรมอันเป็นเหตุให้จิตหลุดจากสังโยชน์.
ในบรรดาบทเหล่านั้น พระเถระกล่าวถึงกายวิเวก ด้วยบทว่า เสเวถ
ปนฺตานิ เสนาสนานิ.
ก็ด้วยบทนั้น กายวิเวกก็คือการอยู่อย่างสงัด ของ
ผู้ที่ควรแก่วิเวกนั่นเอง เพราะการละสังโยชน์จะกล่าวถึงต่อไป (ข้างหน้า)
เพราะฉะนั้น สังวรมีศีลสังวรเป็นต้น พึงทราบว่า สำเร็จแล้วโดยไม่ได้กล่าว
ไว้ในคาถานี้.
บทว่า จเรยฺย สํโยชนวิปฺปโมกฺขํ ความว่า จิตย่อมหลุดพ้นจาก
สังโยชน์ได้โดยประการใด ภิกษุพึงประพฤติ คือ พึงปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา
และมรรคภาวนา โดยประการนั้น.

บทว่า สเจ รตึ นาธิคจฺเฉยฺย ตตฺถ ความว่า ภิกษุยังไม่ประสบ
ความยินดี ในเสนาสนะอันสงัด และในธรรมคือกุศลอันยิ่งเหล่านั้น คือไม่
ประสบความยินดียิ่ง เพราะไม่ได้คุณพิเศษ ติดต่อเป็นลำดับไป พึงเป็นผู้มีตน
อันรักษาแล้ว คือมีจิตอันรักษาแล้ว โดยกำหนดกรรมฐาน พึงเป็นผู้มีสติอยู่
ด้วยการเข้าไปตั้งไว้ ซึ่งสติเป็นเครื่องรักษาในทวารทั้ง 6 ในสงฆ์ คือ ในหมู่
แห่งภิกษุ. และเมื่อเธออยู่อย่างนี้ พึงชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากสังโยชน์โดยแท้.
จบอรรถกถามหาจุนทเถรคาถา

2. โชติทาสเถรคาถา


ว่าด้วยคาถาของพระโชติทาสเถระ


[269] ได้ยินว่า พระโชติทาสเถระได้ภาษิตคาถานี้ไว้ อย่างนี้ว่า
ชนเหล่าใดแล พยายามในทางร้ายกาจ ย่อม
เบียดเบียนมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการกระทำอันเจือด้วย
ความผลุนพลันก็ดี ด้วยการกระทำ มีความประสงค์
ต่าง ๆ ก็ดี ชนเหล่านั้นกระทำทุกข์ ให้แก่ผู้อื่นฉันใด
แม้ผู้อื่นก็ย่อมทำทุกข์ให้แก่ชนเหล่านั้น ฉันนั้น เพราะ
นรชนกระทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้
รับผลแห่งกรรมที่ตนทำไว้นั้น โดยแท้.